วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


 Cupcake

ปัจจุบัน Cupcake เป็นที่นิยมมาก เพราะตกแต่งสวยงามน่าทาน จริงๆแล้ว คัพเค้ก (Cupcake) เริ่มมาจากไหนกัน เพราะอะไรถึงเรียกอย่างนี้

ที่มาของ Cupcake
"cupcake" ถูกพบครั้งแรกในปี 1828 ในหนังสือ Eliza Leslie'sReceipts cookbook ในช่วงต้นศตวรรรษที่ 19 มีการเขียนทั้งแบบ Cup cake และ Cupcake เดิมที่สมัยก่อนจะอบ Cupcake ในถ้วยกระเบื้องกัน
คัพเค้ก ( Cupcake ) เริ่มแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ราวช่วงต้นศตวรรษที่ 19 คิดขึ้นมาเพื่อต้องการประหยัดเวลาในการทำจีงได้คิดทำเค้กเป็นถ้วยๆขึ้นมา ซึ่งจริงๆต้นกำเนิดแล้วคำว่า Cupcake นั้น นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารคิดว่าน่าจะมาจาก 2 ทฤษฏี คือ
  • มาจากการทำเค้กในถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)
  • มาจากเวลาทำเค้กชนิดนี้ มาตราส่วนในการตวงใช้ เป็นถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)
จริงๆแล้ว เริ่มแรกของเค้กชนิดนี้ เดิมเรียกว่า “ Number Cake , 1234 cakes , quarter cakes ” เพราะว่ามันง่ายในการจำสูตรในการทำ เนย 1 ถ้วย , น้ำตาล 2 ถ้วย , แป้ง 3 ถ้วย , ไข่ไก่ 4 ฟอง , นม 1 ถ้วย ,ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกันอบเสร็จก็กลายเป็น Cupcake แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนา Cupcake โดยส่วนผสม,รูปร่าง,การตกแต่ง ที่หลากหลาย จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
คัพเค้ก (Cupcake) ทำง่าย สะดวกรวดเร็วกว่า การทำเค้กทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ หลังจากอบเสร็จมีการตั้งเอาไว้ให้หายร้อนในเตาอบ ทำให้เค้กไหม้ มัฟฟินทิน (Muffin tin) จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงในการเริ่มต้นทำ Cupcake ในถ้วยอลูมิเนียม , ถ้วยกระดาษสีสวยๆที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทำให้ คัพเค้ก ( Cupcake) ได้รับความนิยมอย่างมากมายในปัจจุบัน มีร้านขาย Cupcake เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คัพเค้กยอดนิยม ก็ยังคงเป็นรสวานิลา (Vanilla)) และช็อคโกแล็ต ( Chocolate ) ส่วนรสอื่นๆ ก็มี ราสเบอรรี่ เมอแรง (raspberry meringue) ,เอสเพลสโซ่ ฟรัดจ์ (Espresso fudge)
อุปกรณ์ที่สำคัญในการทำคัพเค้กคือ
1. พิมพ์และถ้วยกระดาษ ( paper line) พิมพ์มีหลายแบบ เช่น ถ้วยอบเค้กรูปดาว พิมพ์ถาดมัฟฟิน พิมพ์ชนิดถอดได้ พิมพ์พาย ฯลฯ ส่วนถ้วยกระดาษที่ใช้ก็มีหลายขนาด หลายสีให้เลือก แล้วแต่ความชอบ (ในสูตรที่จะเขียนจะใช้ถ้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 1/2 นิ้ว หรือ 3 นิ้ว) อุปกรณ์สามารถหาเลือกซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ทั่วไป
2. ช็อกโกแลต (chocolate) ในการทำคัพเค้ก(แบบเค้กช็อกโกแลต)ใช้ทั้ง dark chocolate, milk chocolate, white chocolate
dark chocolate คือ ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มนมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกเป็นช็อกโกแลตธรรมดา แต่ว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกเป็นช็อกโกแลตหวาน และกำหนดให้มีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 15% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 35%
milk chocolate คือ ช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือ นมข้นหวาน รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดว่าหากจะเรียกว่าช็อกโกแลตนม ต้องมีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 10% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 25% ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ ( cocoa butter) นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%
white chocolate คือ ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล เนยโกโก้ นมสด และใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย ช็อกโกแลตขาวนี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้
3. ผลไม้ที่นิยมแต่งหน้าคัพเค้ก คือ ผลไม้ที่ออกรสเปรี้ยวอมหวาน กินแล้วสดชื่น
เชอร์รี่ เพราะสีสดใส รูปทรงอ่อนช้อย อีกทั้งรสหวานอมเปรี้ยวพอดี
บลูเบอร์รี่ ใช้กับเค้กหลายชนิด อีกทั้งกินสดๆแนมกับเค้กได้ดี
ราสเบอร์รี่ มีลูกสีแดงสด มีรสเปรี้ยวนำตามด้วยหวานกลิ่นหอม
สตรอว์เบอร์รี่ มีสีแดงกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นผลไม้แห่งฤดูร้อน รสชาติเปรี้ยวหวาน
ส้ม มีรสเปรี้ยวอมหวานที่ค่อนข้างเข้มข้น
การผึ่งคัพเค้กให้เย็น ( cooling cupcakes)
เมื่อขนมสุกดี ยกออกจากเตา แล้วทิ้งไว้ในพิมพ์นาน 5 นาที แล้วจึงคว่ำออกจากพิมพ์ วางพักบนตะแกรง

วิธีทำคัพเค้ก

ราสเบอร์รี่คัพเค้ก พิ้งค์บัตเตอร์ครีม 

(Raspberry cupcake with pink buttercream)

   

ส่วนผสมคัพเค้ก

1. แป้งอเนกประสงค์ 2 1/2 ถ้วยตวง
2. แป้งเค้ก (non self-rising) 2 ถ้วยตวง
3. ผงฟู 2 1/4 ช้อนชา
4. เกลือ 1 1/4 ช้อนชา
5. นมสด 1 1/4 ถ้วยตวง
6. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ
7. เนยจืด 2 แท่ง กับ 2 ช้อนโตีะ
8. น้ำตาล 2 1/4 ถ้วยตวง
9. ไข่ไก่ 6 ฟอง
10. ราสเบอร์รี่ 150 - 170 กรัม แบ่ง 1/2 ส่วนบดละเอียด อีก 1/2 ส่วนสับหยาบๆ
11. สีผสมอาหารสีแดงชมพู

บัตเตอร์ครีมสำหรับแต่งหน้า (Pink ฺButter Cream)
ส่วนผสมสามารถเตรียมได้ 5 ถ้วยตวง
1. น้ำตาล 1 ถ้วยตวง 2 ช้อนโต๊ะ
2.ไข่ขาว (ขนาดใหญ่) 5 ฟอง
3. เกลือเล็กน้อย
4. เนยจืด 4 แท่ง หั่นเป็นชิ้นเล็กๆทิ้งไว้ให้นิ่ม
5. สีผสมอาหารสีชมพูแดง


วิธีทำคัพเค้ก
  1. อุ่นเตาที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เตรียมพิมพ์กระดาษวางไว้ในถาดอบมัฟฟิน
  2. ผสม แป้ง,ผงฟู,เกลือ ให้เข้ากัน แล้วพักไว้
  3. ตีเนยด้วยเครื่องผสมอาหาร ใช้ความเร็ว medium ตีจนฟู ค่อยๆเติมน้ำตาลลงไปช้าๆ ตีจนฟู ด้าน ใช้เวลาประมาณ 3 นาที ค่อยๆใส่ไข่ไก่ทีละฟอง ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน
  4. ลดความเร็วเป็นระดับ low แล้วเติมส่วนผสมแป้ง สลับกับนม ให้เริ่มด้วยเทแป้งแล้วจนด้วยแป้ง ผสมราสเบอร์รี่ที่เตรียวไว้ลงไป แล้วหยดสีผสมอาหารเล็กน้อย
  5. ใส่ส่วนผสมคัพเค้ก ลงในถ้วยกระดาษประมาณ 3/4 ของถ้วย แล้วอบประมาณ 20 นาที จากนั้นให้ทิ้งให้เย็นในตะแกรง พักไว้ประมาณ 15 นาที แล้วตกแต่งด้วย บัตเตอร์ครีมสีชมพู และช็อคโกแล็ตรูปหัวใจ

วิธีทำ บัตเตอร์ครีมสำหรับแต่งหน้า (Pink ฺButter Cream)
ส่วนผสมสามารถเตรียมได้ 5 ถ้วยตวง
  1. ตีน้ำตาล,ไข่ขาว,เกลือ เข้าด้วยกัน โดยนำไปอังกับไอน้ำ จนน้ำตาลละลาย จนมีลักษณะคล้ายน้ำเชื่อม
  2. ตีส่วนผสมด้วยความเร็ว กลาง 5 นาที แล้วเพิ่มความเร็วเป็น กลางค่อนข้างสูง ตีจนเข้ากัน มีลักษณะมันแวว ใช้เวลาประมาณ 6 นาที
  3. ลดความเร็วเป็นระดับกลาง แล้วใส่เนย ผสมให้เข้ากันแล้วใส่สีผสมอาหาร

วิธีทำช็อคโกแล็ตตกแต่งรูปหัวใจ
  1. ละลาย ช็อคโกแล๊ต แบบ semi-sweet 120 กรัม โดยใช้หม้อตุ๋นหรือใช้วิธี double boiling จนละลาย ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเทใส่ถุงบีบ
  2. บีบตามลายที่ได้วาดแบบเอาไว้ ทิ้งให้เย็น ในช่องแช่เย็นราว 15 นาที แล้วใช้ไม้พายแกะออก แล้วนำไปตกแต่งคัพเค้ก

ตัวอย่างการแต่งหน้าคัพเค้ก







        
                 ลองทำดูนะค่ะ ไม่ยากเท่าไหร่เลยละค่ะ >_< v   ถ้าเพื่อนๆอยากทำคัพเค้กแบบใหนก็บอกได้นะค่ะ  จะลองหาวิธีทำมาแชรืกันดู





5  ไอเดียตกแต่งร้านให้น่านั่ง

บทความนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนๆ ของ forfur ที่อยากให้แนะนำเกี่ยวกับการตกแต่งร้านกาแฟ นะคะ แต่ทีนี้ forfur เห็นว่าหากต้องการตกแต่งร้านก็น่าจะเหมารวมไปถึงร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านกาแฟและเบเกอรี่ หรือแม้กระทั่งมุมนั่งเล่นภายในบ้านของเพื่อนๆ ที่บางคนอาจอยากจะ ชิลๆอยู่กับบ้านจ๊ะ เราเลยขอแจมบอกต่อถึึงเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ


1.  บรรยากาศสบายๆ สไตล์โมเดิร์น  ...... เป็นการตกแต่งแบบเรียบง่าย เน้นอารมณ์ชิลๆ นั่งจิบเครื่องดื่มยามว่างหรือ อาจจะมีกลิ่นอายย้อนยุคนิดๆ ก็จะรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นนะคะ



2. โปร่ง โล่งสบายตาม สไตล์ลอฟท์ .... เน้นความโดดเด่นของเพดานสูงเลือกจัดวางตู้หนังสือขนาดสูงไว้ อารมณ์นี้เหมาะกับนักอ่านตัวยงคะ อาจปูพื้นด้วยวัสดุแบบไม้หรือปูนขัดมัน เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบชิค Chic นำแผ่นไม้มาประดับเป็นผนังหรือ เสา เพื่อลดทอนความดิบ กระด้างลงบ้าง ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง เหมือนอยู่ที่บ้านไม่มีผิด 


3 อบอุ่นคลาสสิก สไตล์โคโลเนียล .... การตกแต่งสไตล์นี้เน้นเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งแบบเก่าเก็บ (สะสม) ซึ่งจะทำให้ร้านดูอบอุ่นด้วยความคลาสสิกของที่นำมาประดับประดาร้าน แสงไฟต้องสลัวๆ ด้วยไฟประดับวิบวับ บรรยากาศแบบนี้..... ผู้ดีอังกฤษห้ามพลาดเด็ดขาด


4.นั่งสบายๆ สไตล์ Retro..... การตกแต่งเน้นคอนเซ็ปต์ยุคเก่า เฟอร์นิเจอร์เป็นแบบดีไซน์หลากหลายยุค หลายสมัย ยิ่งเป็นของตกแต่งกลางศตวรรษที่ 19 จะดูลงตัวสุดๆ หากคุณเป็นนักสะสมของเก่าอยู่แล้ว เหมาะที่จะออกแบบและตกแต่งร้านสไตล์นี้คะ



5.  Mix and Match ..... เป็นการผสมผสานหลากหลายสไตล์เข้าไว้ด้วยกัน เช่น สไตล์ลอฟท์กับโมเดิร์น ซึ่งตกแต่งไม่ลอฟท์ หรือโมเดิร์นจนเกินไปแอบมีกลิ่นอายของแนววินเทจนิดๆ ด้วยของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ บวกกับความงามของลวดลายบนผนัง ซึ่งจะทำให้บรรยากาศภายในร้านเหมือนคนคุ้นเคยกัน เนื่องจากการตกแต่งแบบไม่เป็นทางการมากนัก ผสานได้อย่างลงตัวกับความสดใสของโทนสีเฟอร์นิเจอร์และของที่นำมาตกแต่ง ความรู้สึกมันช่างอบอุ่นและสบายใจอย่างบรรยายไม่ถูกเลย



การตกแต่งร้านสไตล์ต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งในการจรรโลงใจให้ลูกค้าเดินทางมาลิ้มลองและมาสัมผัสบรรยากาศภายในร้าน แต่ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ เรื่องรสชาติของอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการบริการ ที่ควรจะมีดีไม่แพ้การตกแต่งร้านนะจ๊ะ ^__^